#0611519646 ทักมาคุยกัน
#ลิ้งค์สมัครบิทคับ Exchange ไทย โอนเงินบาทซื้อคริปโต📊สมัครฟรีกดที่ลิ้งค์ 👇นี้ค่ะ
#สนใจร่วมธุรกิจ ติดต่อ – มีกลุ่ม
#คลิ้กลิ้งค์สมัคร และรับ – ฟรี ★
👉คลิ้กลิ้งค์สมัคร สำหรับเวบไซต์
👉ลิ้งค์สมัครสำหรับ application โหลด App ก่อน
#ไม่ใช่, หรือธุรกิจแชร์ลูกโซ่
♍แม้ว่าหนึ่งในเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังฟินเทคและกำลังถูกจับตามองอย่างมากก็คงหนีไม่พ้น Blockchain (บล็อกเชน) หลายคนโดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่อาจคิดเพียงว่า Blockchain ก็คือเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับ Bitcoin Cryptocurrency ชื่อดังและตามมาอีกหลายสกุลเงินดิจิทัล แต่ ในมุมมองของ Techgnology Developer นั้นกลับมองว่าบล็อกเชนสามารถนำมาสร้างประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมอื่นได้อีกมากมาย จนคิดไปไกลถึงขั้นว่าจะกลายเป็นถนนเส้นใหม่ที่เชื่อมต่อโลกดิจิทัลไว้ด้วยกัน ในแบบที่ทุกคนบนโลกสามารถแชร์ข้อมูลกันไปมาหากันได้โดยไม่ต้องมีศูนย์กลางข้อมูลอีกต่อไป
ความท้าทายของการนำบล็อกเชนไปใช้ยังไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่โลกการเงินเท่านั้น การสร้างเอกสารเพื่อการครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินอย่างในประเทศฮอนดูรัส ก็เป็นตัวอย่างที่ดี ซึ่งผู้ที่ครอบครองที่ดินกว่า 70% เข้าใจว่า ที่ดินเป็นของตนเอง และมีกรรมสิทธิ์อย่างแน่นอน แต่แล้วการถือครองที่ดินกลับมีการเปลี่ยนเจ้าของโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้ต้องถูกบังคับออกจากที่ดินอย่างไร้ข้อต่อสู้ ซึ่งแน่นอนว่า บล็อกเชนจะเข้าไปช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แก้ไขเอกสารกรรมสิทธิ์ที่ดิน ให้มีความถูกต้องมากขึ้น ซึ่งก็เป็นไปตามแนวคิดของบล็อกเชนที่ว่า ข้อมูลจะต้องมีความปลอดภัย มีการเผยแพร่ และบันทึกไว้ในทุกที่อย่างเป็นธรรม เพื่อป้องกันการปลอมแปลงโดยมิชอบนั่นเอง
ในอนาคตบริษัทที่จะเติบโตได้จะเป็นเพียงกลุ่มบริษัทที่สามารถรวบรวมสินค้า และบริการเข้ามาให้บริการแบบเป็นธรรม มีความน่าเชื่อถือ และท้ายที่สุดสามารถดำเนินการได้ตามสัญญาที่ตกลงไว้ ซึ่งจะสังเกตเห็นว่า บริษัทยุคใหม่เริ่มไม่มีสินค้าเป็นของตนเอง แต่จะมีการรวบรวมสินค้า และบริการนั้น ๆ ไว้ แล้วขายบริการนั้น ๆ โดยที่ไม่ต้องสต๊อกสินค้าแต่อย่างใด เช่น ผู้ให้บริการอูเบอร์ เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการรถขนส่งสาธารณะแบบตัวกลาง ซึ่งโดยตัวบริษัทเองไม่ได้มีรถไว้คอยให้บริการ แต่เป็นการรวบรวมผู้ขับ และรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ที่นำเสนอให้บริการโดยผู้ขับขี่เองมาให้บริการผ่านแอปพลิเคชั่น เทรนด์ของการทำธุรกิจเช่นนี้จะเกิดขึ้นอีกมากมายในอนาคต และท้ายที่สุด บล็อกเชนก็จะเข้าไปสอดแทรกการจัดการภายในเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และยุติธรรมมากกว่าที่แพลตฟอร์มใดเคยทำได้
จึงกล่าวได้ว่า; การทำงานของ Blockchain คือ เมื่อเกิดการทำธุรกรรมต่างๆ ขึ้นในระบบ ข้อมูลจะถูกบันทึกแบบเข้ารหัสไว้เป็นบล็อกๆ และจะถูกเชื่อมโยงต่อๆ กัน โดยที่จะไม่มีใครคนใดคนหนึ่งสามารถเข้าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลในบล็อกใดๆ ได้เลย สาเหตุก็เพราะทุกคนต่างก็มีสำเนาหรือประวัติการทำธุรกรรมทั้งหมดอยู่กับตัว จึงเป็นเรื่องที่ยากหรือเป็นไปไม่ได้หากจะมีใครซักคนเข้ามาแก้ไขหรือปลอมแปลงข้อมูลโดยปราศจากการรับรู้จากคนส่วนใหญ่ในระบบ โดยระบบที่สามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับได้ทั้งหมดนี้ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเทคโนโลยี Blockchain นั่นเอง
ขอยกตัวอย่างเพื่อให้ทุกคนเห็นภาพมากยิ่งขึ้น ในอดีตการทำธุรกรรมทางการเงิน จะต้องอาศัยตัวกลางในการยืนยันความถูกต้องของข้อมูล นั้นก็คือ “ธนาคาร” ในการทำธุรกรรมออนไลน์ ธนาคารก็จะเป็นผู้รับผิดชอบเก็บข้อมูลลูกค้า และตรวจสอบการทำธุรกรรมต่างๆ (เป็นผู้ดูแลสัญญานั่นเอง) แต่ระบบ Blockchain คือ คู่ที่ทำธุรกรรมสามารถทำธุรกรรมกันเองได้โดยตรง ผ่านเทคโนโลยี Blockchain สัญญาที่แต่ก่อนธนาคารเป็นผู้ดูแลเพียงคนเดียว ก็จะเปลี่ยนเป็น สัญญาระหว่างคู่ค้าที่จะถูกถือไว้โดยทุกคนในระบบ เมื่อมีการทำธุรกรรมเกิดขึ้น ทุกคนที่อยู่ในระบบก็จะรับรู้ทันทีว่ามีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่ตนถืออยู่ เช่น นาย A จ่ายเงินให้นาย B โดยมีนาย C เป็นผู้ดูแลสัญญา แต่ถ้าเป็น Blockchain ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินนี้จะมีข้อมูลของนาย A และนาย B เมื่อนาย A จ่ายเงินให้นาย B ทุกคนก็จะรับรู้ได้ทั่วกัน
เทรด #bitcoin แบบมือโปร เค้าทำกันแบบนี้ (7 วิธีคิดนักเทรดระดับตำนาน)
แนว 7 แนวคิดแบบนักเทรดระดับตำนาน ที่มือใหม่ทุกคน ควรทำต […]