สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์ ออกประกาศยืนยันการจัดงานฟุตบอลประเพณีฯจุฬา-ธรรมศาสตร์ ในครั้งต่อๆไป ยังคงสืบสานให้มีการอัญเชิญพระเกี้ยว
จากกรณีองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) มีมติให้ยกเลิกกิจกรรมอัญเชิญพระเกี้ยว ในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ จนนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางนั้น
ล่าสุด สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ออกประกาศเรื่อง แนวทางการจัดงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์
สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ สมาคมธรรมศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ร่วมกันสืบสานงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ – ธรรมศาสตร์ สืบเนื่องเป็นประจำทุกปี
มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2477 เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ และหลอมรวมความสมัครสมานสามัคคีระหว่างนิสิตเก่า ศิษย์เก่า และนิสิต นักศึกษา ทั้งสองสถาบัน
และร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับสังคมไทย โดยทั้งสองมหาวิทยาลัยมีส่วนร่วมในการจัดงาน โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกให้กิจกรรมต่างๆ ตำเนินไปด้วยดี และได้เปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษา
เข้ามามีส่วนร่วมอยู่ในฝ่ายเชียร์ พาเหรด และกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ เพื่อสร้างประสบการณ์ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ รู้จักการทำงานและการอยู่ร่วมกันในสังคม ทั้งยังได้ซึมซับขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม
ของทั้งสองสถาบัน โดยสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ และสมาคมธรรมศาสตร์ฯ เป็นผู้สนับสนุน
ในการจัดงานฟุตบอลประเพณีฯ ครั้งที่ 75 นี้ สมาคมธรรมศาสตร์ฯในฐานะเจ้าภาพ ได้มีหนังสือลงวันที่ 30 กันยายน 2564 แจังขอเลื่อนกำหนดการแข่งขันฟุตบอลประเพณีฯออกไปก่อน
เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโคโรน่าไวรัส 2019 ที่ยังต้องเฝ้าระวังอยู่ ซึ่งสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯก็เห็นพ้องด้วย
หลังประกาศดังกล่าวออกมา โลกออนไลน์ต่างสงสัยว่า ใครเป็นนายกสมาคมนิสิตเก่าคนปัจจุบัน
ทำให้ นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นายกองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ ทวิตข้อความ ชี้แจงว่า
“นายกสมาคมนิสิตเก่าคนปัจจุบันชื่อว่า อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย นอกจากเป็นนายกสมาคม ก็เป็นปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมด้วย ซึ่งรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงนี้ก็คือ
ชัยวุฒิ ที่พึ่งออกมาให้ความเห็นก่อนหน้านั่นเอง”
จะว่าไปแล้วปรากฏการณ์ “ม็อบราษฎร” เมื่อปี 2563 และ “ม็อบทะลุแก๊ซ” ในปี 2564 ต่างมีสถานะเป็นเหมือนส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง ที่ผุดโผล่ขึ้นมาเพื่อแสดงให้เรามองเห็น
ตระหนักถึงสภาพความอึดอัดคับข้องใจต่อสังคมการเมืองไทย และรัฐไทยในยุคปัจจุบัน ของคนรุ่นใหม่สองกลุ่มใหญ่ๆ
ได้แก่ นิสิตนักศึกษาปัญญาชนในมหาวิทยาลัย และวัยรุ่นคนชั้นกลางระดับล่างที่อาศัยอยู่ในชุมชนเมือง
ผู้มีอำนาจเลือกจะจัดการกับส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งดังกล่าว ด้วยเครื่องมือทางด้านกฎหมายเป็นหลัก
ไม่ว่าจะเป็นการฟ้องร้องดำเนินคดีแกนนำม็อบราษฎร ด้วยประมวลกฎหมายอาญา ม.112 หรือ 116
และใช้กำลังตำรวจ คฝ. เข้าปะทะกับเหล่าเยาวรุ่นทะลุแก๊ซครั้งแล้วครั้งเล่า
สภาพการณ์ข้างต้นดำเนินไป โดยที่“รัฐบาลโอลด์สกูล” ดูจะไม่เข้าใจและไม่พยายามใส่ใจคนรุ่นใหม่สักเท่าใดนัก
ตรงกันข้ามกับพรรคการเมืองใหญ่ๆ ฝ่ายประชาธิปไตย ที่พยายามแย่งชิงฐานคะแนนเสียงจากพลเมืองกลุ่มนี้อย่างเข้มข้น
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ในสังคมไทยร่วมสมัย กลับมีมิติลึกลับซับซ้อนกว่านั้น
ดังเช่นข่าว “สโมสรนิสิตจุฬาฯ มติเอกฉันท์ เลิกกิจกรรมอัญเชิญพระเกี้ยว ชี้เป็นธรรมเนียมสะท้อนความไม่เท่าเทียม” ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของนานาปรากฏการณ์
ที่กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือน-รอยปริแยกอยู่ตรงฐานรากใต้น้ำของภูเขาน้ำแข็ง
มติยกเลิกกิจกรรมอัญเชิญพระเกี้ยว ในงานฟุตบอลประเพณีฯ ไม่ใช่แสงพลุวูบวาบที่ถูกจุดขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว ทว่ายังมีกรณีคล้ายคลึงกันที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้าแล้ว ในสถาบันการศึกษาแห่งอื่นๆ
อาทิ การที่นักศึกษารุ่นใหม่ลงมติยกเลิกระบบ“โต๊ะ” ในหลายๆคณะของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันถือเป็นการยุติประเพณีการสร้างคอนเน็กชั่น “พี่-เพื่อน-น้อง” ที่ดำรงอยู่มายาวนานกว่าสามทศวรรษ
การต่อต้านท้าทายเหล่านี้เกิดขึ้นใน“สนามการต่อสู้แห่งอื่นๆ” ที่คนรุ่นใหม่พยายามแผ้วถางเข้าไป
เป็นสนามการต่อสู้ที่ไม่เอื้ออำนวย ต่อการใช้กฎหมายจับเด็กเข้าไปขังในคุกกันอย่างไร้ปรานี ไม่ได้ดุเดือดจนเปิดโอกาสให้ คฝ.ได้รวมพล เป็นเรื่องภายในสถาบันการศึกษา
จนรัฐบาลไม่สมควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว ขณะที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่ฉลาดหน่อย ก็ย่อมรู้ว่าตนเองไม่พึงเข้าไปแทรกแซงกระบวนการตัดสินใจ ที่นิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่มีฉันทามติไปในทิศทางเดียวกัน
ถ้าม็อบ“ราษฎร-ทะลุแก๊ซ” เคยส่งเสียงเตือนสังคม ด้วยภาพการรวมตัวในพื้นที่สาธารณะอันน่าตื่นตา ตื่นใจ และคาดไม่ถึง
เรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นตามสนามการต่อสู้ในมหาวิทยาลัย ก็คือการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างค่อยเป็นค่อยไป คือการเปลี่ยนแปลงในระดับวิถีชีวิตประจำวัน ที่ซึมลึก แพร่กระจาย
และมิอาจถูกตัดรอนบ่อนทำลายได้ง่ายๆ
ถึงแม้ว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คนรุ่นใหม่ที่เคยมีส่วนร่วมกับการต่อต้านท้าทายคราวนี้ อาจเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ที่เชื่องขึ้น ภายในระบบราชการ-เอกชน แบบไทยๆ
ทว่าอย่างน้อยที่สุด ความสัมพันธ์ทางอำนาจและความทรงจำร่วม ที่เกี่ยวดองกับชีวิต-วิธีคิดของพวกเขา ผ่านสังคมมหาวิทยาลัย ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
และเมื่อความคิด-วิถีชีวิตชนิดใหม่ ค่อยๆดำเนินไปปีแล้วปีเล่า การพยายามจะถอยหลังย้อนกลับไปฟื้นฟู“อดีต” (ที่ไม่สมเหตุสมผลและเปล่าเปลืองในสายตาคนรุ่นหลังๆ) ก็อาจทำได้ยากลำบากขึ้นตามลำดับ
ต่อให้ฝ่ายผู้มีอำนาจที่ชนะการเลือกตั้ง มี ส.ว. มีองค์กรอิสระ มีกฎหมาย มีรัฐธรรมนูญ อยู่ในมือ ก็อาจทำได้เพียงเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลง ตรงฐานรากภูเขาน้ำแข็ง ลุกลามขึ้นมากัดกินตนเองอย่างช้าๆ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก ไทยโพสต์ และ มติชน
#เรื่องเล่าข่าวเด็ด
#ราษฎร
#เลือกตั้ง
เรื่องเล่า ข่าวเด็ด
RIPPLE XRP จดบริษัทที่รัฐไวโอมิ่ง I XRPONG
XRP #Ripple #XRPONG #RIPPLE #XRP #XRPONG Disclaimer  […]